Malaysia jadi perantara usaha damai selatan Thai

E13A2EE27BD74599888804EE6C50AFBB

KUALA LUMPUR — Dalam usaha mewujudkan keamanan dan kestabilan di rantau Asia Tenggara, Malaysia sekali lagi tampil dengan inisiatif perjanjian konsensus menyeluruh antara kerajaan Thailand dan Barisan Revolusi Nasional (BRN) iaitu kumpulan pejuang Islam di selatan Thai.

Perjanjian yang akan membuka jalan kepada proses dialog untuk mewujudkan keamanan di daerah selatan Thailand itu ditandatangani di Pusat Latihan Polis (PULAPOL) di Jalan Semarak hari ini.

Ini adalah usaha kedua Malaysia dalam membawa keamanan di rantau ini selepas berjaya memulakan perjanjian aman bersejarah untuk Mindanao di selatan Filipina.

Kerajaan Thai diwakili oleh Setiausaha Agung Majlis Keselamatan Kebangsaan Thailand, Lt Jen. Pharadorn Phattanatabutr dan manakala BRN diwakili oleh Hassan Taib yang juga Ketua Ibupejabat BRN di Malaysia.

Ia disaksikan oleh Setiausaha Majlis Keselamatan Negara Malaysia, Datuk Mohamed Thajudeen Abdul Wahab.

Turut hadir di majlis bersejarah ini adalah Timbalan Setiausaha Tetap Kementerian Pertahanan Thailand, Jen. Nipat Thonglek, Setiausaha Agung Pusat Pengurusan Daerah Selatan Thai, Kol. Tawee Sodsong dan Pesuruhjaya Unit Risikan Thai, Lt Jen Saridchai Anakevieng.

BRN juga diwakili oleh Setiausaha Jabatan Hubungan Luar, Awang Jabat, Ketua Hal Ehwal Ulama Abdullah Sawa dan Ketua Bahagian Keselamatan Dalaman, Abdul Rahman Jabat.

Panglima Angkatan Tentera Malaysia, Jen Tan Sri Zulkifeli Mohd Zin dan Ketua Polis Negara, Tan Sri Ismail Omar turut hadir.

Bercakap kepada wartawan, Mohamed Thajudeen berkata Malaysia memainkan peranan sebagai fasilitator dalam perjanjian ini.

Perdana Menteri sebelum ini telah menyuarakan kesediaan untuk membantu menyelesaikan isu selatan Thai yang berlanjutan sekian lama.

Dilaporkan sehingga kini lebih 5,000 orang maut sejak pergolakan selatan Thai tercetus pada 2004.

………………………………………………………………………………………………………..

เลขาสมช.เป็นผู้นำคณะลงนามกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นร่วมพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 10.00น. ได้เป็นผู้นำคณะในการเซ็นลงนามกับกลุ่มตัวแทนบีอาร์เอ็นจำนวน 4 คน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องของประเทศมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน

โดยมีข้อตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำไปสู่สันติสุข จะมีการพูดคุย และแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาในพื้นที่ โดยจะเป็นการจัดเวทีพูดคุยเพื่อให้เกิดสันติภาพ สำหรับการพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปิดกุญแจดอกแรก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการพูดคุยครั้งนี้เป็นไปตามแผนนโยบายการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามแผนพัฒนาข้อ 8 ของสมช.

อย่างไรก็ตามประเทศมาเลเซียพร้อมที่จะประสานให้ความร่วมมือ หลังจากนี้อีก 2 สัปดาห์จะมีการหารือเพื่อติดตามการลงนามในเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการเดินทางมายังประเทศมาเลเซียของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันนี้ไม่ทราบว่านายกฯ จะได้มีโอกาสพบปะเพื่อพูดกับกลุ่มตัวแทนทั้ง 4 คนของกลุ่มบีอาร์เอ็นหรือไม่

พล.ท.ภราดร กล่าวว่า นี่เป็นแค่ ก้าวแรกของการนำไปสู่ความสงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่ยังต้องมีอีกหลายก้าวตามมา เพื่อไปสู่ ปลายอุโมงค์  ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเดินไปถึง แสงสว่างที่เห็นที่ปลายอุโมงค์นั้น นานแค่ไหน แต่ก็คือการเริ่มต้นที่ดี ถือเป็นการเปิดวิสัยทัศน์ เปิดโอกาสในการรับฟังความคิดเห็นของคนที่คิดต่าง

““เราไม่ได้ตีกรอบเวลาว่าจะต้อง เห็นผลภายใน กี่เดือนกี่ปี เพราะนี่แค่ก้าวแรก โดยจากนี้ทุก 2 สัปดาห์ ทางมาเลเซียจะนัดให้ ผมหรือทีมงาน มาคุยกับ ตัวแทนของ บีอาร์เอ็นในแต่ละระดับ เพื่อทราบแนวคิด และความต้องการต่างๆ”พล.ท.ภราดร กล่าว

พล.ท.ภราดร  ยืนยันว่า การลงนามครั้งนี้ ไม่ได้มีการผูกมัด หรือตกลงในเรื่องการให้เขตปกครองพิเศษ  ยังไม่มีการระบุในเรื่องนี้  แต่เป็นแค่การลงนามว่าจะพูดคุยกับ ผู้ที่มีความคิดเห็น และอุดมการณ์ที่แตกต่าง โดยมี มาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวก

“จากนี้ทุก 2 สัปดาห์  มาเลเซีย ก็จะนำตัวแทนกลุ่มต่างๆ ระดับต่างๆมาคุยกับ ผมและทีมงาน เพื่อรับทราบความคิดและความต้องการ แล้วผมก็จะนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อท่านนายกรัฐมนตรี และฝ่ายความมั่นคง เพื่อหารือหาทางออกกันต่อไป”พล.ท.ภราดรกล่าว

ขณะที่เว็บไซต์เฟซบุ๊กของนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ บรรณาธิการข่าวความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งได้ไปร่วมสังเกตุการณ์การลงนามดังกล่าวที่มาเลเซีย ระบุว่า ตัวแทนอย่างเป็นทางการของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น ลงนามร่วมเลขาสมช.ร่วมพูดคุยสันติภาพ ตามนโยบายรัฐบาล โดยในพิธีมี ผบ.สส.มาเลเซียร่วมด้วย ทั้งนี้ไม่เคยมีตัวแทนระดับสูงจากบีอาร์เอ็น ร่วมในการพูดคุยก่อนหน้านี้

“ผมตามข่าวในพื้นที่มาตลอด เชื่อว่าของจริง บีอาร์เอ็นส่งมาเป็นตัวแทนร่วมพูดคุย แต่ทั้งนี้เส้นทางยังอีกยาวไกล และยังต้องเจราจรอีกหลายยก ซึ่งหากการพูดคุยเดินหน้าได้ ขบวนการต้องประกาศหยุดก่อเหตุร้ายในพื้นที่ ตอนนั้นจะชัดเจน อย่างไรก็ตามต้องให้เครดิตกับการทำงาน โดยการลงนามในครั้งนี้มี พล.ท.สุรวัช บุตรวงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ เป็นตัวแทนกองทัพบกร่วมสังเกตการณ์”

อย่างไรก็ตาม นายเสริมสุข แสดงความเห็นด้วยว่า มาเลเซียเอาตัวปลอมมาเล่นลิเกหลอกไม่ได้หรอกครับ สักขีพยานมากมาย ของจริงของปลอมต้องดูตอนประกาศยุติก่อเหตุร้าย นักรบ จูแว ในสนามว่าไง เอาด้วยไหม พึ่งนับ1 ไป2 3 4 ได้ไหม ต้องตีตั๋วดูต่อครับ ทั้งนี้มีตัวแทนมา 4 คน หารือรอบหน้ากลางเดือนมีนาคม โดยมาเลเซียตั้งตัวแทนร่วมประสาน.

 

………………………………………………………………………………………………………………..

By PULO

Statement/ Kenyataan/ แถลงการณ์

The Patani United Liberation Organisation, which is a member group of the Patani Malay Liberation Movement, welcomes the decision by the Royal Thai Government to ask Malaysia to facilitate a peace dialogue to end the conflict in Southern Thailand. PULO and other members of the PMLM have made it clear from some time, both in confidential contacts and public statements, that we are open to a peaceful resolution of the conflict through dialogue. So long as the government comes with a sincere and legitimately mandated delegation, we will reciprocate by appointing legitimate representatives to engage in a sincere dialogue for peace. We hope that Malaysia is sincere and can help to provide a safe space to engage in this dialogue AND WILL RESPECT THE IDENTITY AND INTEGRITY OF THE LEGITIMATE LEADERS OF OUR STRUGGLE. We look forward to receiving an invitation to meet representatives of the Royal Thai Government securely and safely and to hearing the government’s proposal for a de-escalation of violence and a peaceful end to the conflict.

————————————-

Kenyataan

Pertubuhan Pembebasan Patani Bersatu (PULO), salah satu gerakan Pembebasan Melayu Patani (Patani Malay Liberation Movements/PMLM), mengalu-alukan keputusan yang dibuat oleh Kerajaan Diraja Thai yang meminta Malaysia memfacilitasi dialog kedamaian demi menamatkan konflik di Patani. PULO dan ahli-ahli PMLM lain yang telah menyatakan dengan jelas dari beberapa ketika sebelum ini, baikpun di pertemuan sulit dan kenyataan umum, bahawa kami selalu terbuka dalam hal mencari resolusi konflik secara aman melalui dialog. Selamamana kerajaan Diraja Thai datang dengan delegasi yang ikhlas dan dengan mandat yang sah, kami akan membalas dengan melantik wakil-wakil yang sah juga untuk melibatkan diri dalam dialog dengan ikhlas demi  kedamaian. Kami berharap bahawa Malaysia juga ikhlas dan boleh membantu untuk menyediakan tempat yang selamat untuk melibatkan diri dalam dialog ini. Kami berharap akan menerima jemputan untuk bertemu dengan wakil-wakil kerajaan Diraja Thai dalam keadaan selesa dan selamat untuk mendengar cadangan kerajaan Diraja Thai dalam usha untuk menamatkan keganasan dan konflik secara  aman.

———————————

แถลงการณ์

องค์การสหปาตานีเสรี หรือ PULO ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งในเครือข่ายขบวนการปลดปล่อยมลายูปาตานีรู้สึกยินดีต่อการตัดสินใจของรัฐบาลราชอาณาจักรไทยที่ขอให้มาเลเซียอำนวยความสะดวกในการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติความขัดแย้งในเขตยึดครองของไทยที่ภาคใต้หรือปาตานี PULO และกลุ่มอื่นๆในเครือมีจุดยืนที่ชัดเจนมานานแล้วทั้งในการติดต่อที่เป็นความลับและคำแถลงซึ่งเราเปิดอกเสมอต่อการหาทางแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีโดยการเจรจา    ตราบใดที่รัฐบาลราชอาณาจักรไทยมาพร้อมกับคณะผู้แทนที่จริงใจและได้รับมอบอาณัติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  เราจะตอบสนองด้วยการแต่งตั้งผู้แทนที่ถูกต้องเช่นกันต่อการมีส่วนร่วมในการเจรจาด้วยความจริงใจเพื่อสันติภาพ

เราหวังว่ามาเลเซียมีความจริงใจและสามารถช่วยจัดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อร่วมเจรจาในครั้งนี้

เราคาดหวังที่จะได้รับเชิญการพบปะกับผู้แทนของรัฐบาลราชอาณาจักรไทยอย่างสวัสดิภาพและปลอดภัยในการรับฟังข้อเสนอต่างๆในความพยายามเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงและยุติความขัดแย้งอย่างสันติ.

ละครเรืองนี้แสดงถึงความเลวของรัฐ

5BA3F15FF483450B8179C3DE106A5B42

ขอแสดงความยินดีแด่เหล่านักรบปาตานีที่สละชีวิตเพื่อศาสนาทั้ง 16 ท่าน ที่สู้อย่างมีศักดิ์ศรี  และจะเป็นวีรบุรุษในดวงใจของคนปาตานีตลอดไป พวกท่านเลือกทางที่ถูกต้องแล้วที่ยอมตายเพื่อศาสนาของ Allah ( SWT )

Al-Fatihah…………………………..

สำหรับการประกาศเคอร์ฟิวในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นชี้ให้เห็นถึงความไร้น้ำยาของรัฐบาลสยามที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยประกาศเคอร์ฟิวหรือระบบเซฟตี้โซนมาแล้วแต่เหตุรุนแรงก็ยังคงเกิดได้ทุกวัน ไม่ว่ารัฐบาลไทยจะนำนโยบายอะไรมาใช้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ได้ผล เพราะคนปาตานีต้องการสิทธิ์ของเขาคืน ไม่ว่าต้องเอาคืนด้วยเลือดก็ตาม แน่นอนว่าต้องมีคนที่ยอมแลกด้วยชีวิตอย่างเหตุการณ์ที่เกิดกับเหล่านักรบปาตานีทั้ง 16 ท่านที่กล้าหาญยอมแลกชีวิตเพื่อ ALLAH ( SWT ) และไม่กลัวต่อศัตรู เหตุการณ์ในครั้งนี้ถึงแม้ว่าเราต้องเสียนักรบที่กล้าหาญถึง 16 ท่าน แต่เราก็ยังชนะที่นักรบของเรากล้าที่จะบุกโจมตีฐานของทหาร ทำให้คนใหญ่คนโตของทหารบางท่านถึงกับเสียหน้า เพราะตนเคยลั่นวาจาว่ามาถูกทางแล้วและยังบอกอีกว่าโจรไม่แน่จริง โจรไม่กล้า

 

เป็นเวลามา 9 ปีแล้วที่รัฐบาลไทยพยายามหลอกคนทั้งโลกว่าสามารถคุมสถานการณ์ไว้ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วรัฐบาลไทยไม่มีน้ำยาพอที่จะทำได้เลย และวันนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ หรือที่ทางเว็บไซต์ของกลุ่มพูโลล้อเลียนว่าเป็น (พล.ท.หญิง อุดมชัย ) ได้ประกาศเคอร์ฟิว 6 ตำบลในอําเภอบาเจาะและยังขอร้องชาวบ้านให้ความร่วมมือกับตนนั้นมันเป็นฉากที่น่าสงสารมาก ท่านกำลังบอกถึงจุดยืนของตนเองว่าแพ้อย่างหมดศักดิ์ศรีและคุมสถานการณ์ไม่ได้เลยและยังต้องโดนเจ้านายด่าอีก กลัวตำแหน่งจะตกเป็นของคนอื่นอีก การแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้นั้นจะไม่สําเร็จถ้าหากทหารไทยยังดื้อที่ไม่ยอมเจรจากับกลุ่มนักรบปาตานี เพื่อหาข้อยุติและรับรู้อย่างเปิดหูเปิดตาว่าชาวมาลายูปาตานีต้องการอะไร แต่ถ้าหากทหารไทยต้องการหาผลประโยชน์หรือหากินบนความทุกข์ของประชาชนตาดำๆ ด้วยใช้ความรุนแรงให้ยิ่งเพิ่มความทวีคูณนั้น ความสงบก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน และประเทศไทยจะได้รับความเสียหายครั้งใหญ่เพราะนายทหารที่หัวดื้อเพียงไม่กี่คน ทหารน่าจะเปลี่ยนความคิดจากการใช้ความรุนแรงและลองหันมามองว่าชาวมาลายูต้องการอะไร อย่ามาใช้ความรักชาตินิยมและความแค้นส่วนตัวมาทำร้ายประชาชนที่ไม่ทางสู้ อย่าเติมเชื้อไฟให้สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงมากกว่าเดิม  นโยบายของรัฐบ่อยครั้งที่ไม่ชัดเจนและไม่จริงจังต่อมาตรการหลาย ๆ มาตรการ ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เกิดความสับสนกับการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ เช่น กฎหมายฉุกเฉิน, พ.ร.ก.ความมั่นคง และกฎอัยการศึก บางครั้งชาวบ้านที่ไม่รู้กฎหมายเขาจะคิดว่าทั้งสามฉบับนี้เหมือนกัน เพราะทหารใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อที่จะทำร้ายชาวบ้านหรือใช้ในการแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงได้ตามใจชอบ และตบตีเด็กผู้ชายและขู่ว่าจะเอาเข้าคุก โจรตัวจริงก็คือทหารและรัฐสยามนั้นเอง.

 

ส่วนการตั้งกลุ่มวาดะห์ทั้ง  9 คนให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ ไอเฉลิม มันก็คงเป็นหนังเรื่องใหม่ที่ไม่มีนักแสดงคนอื่นที่จะมาแสดงและจะตีบทแตกอีกแล้ว  เหลือแต่พวกวาดะห์ที่ยังไม่เคยแสดงหนังเรื่องนี้และไอเฉลิมหวังว่าพวกวาดะห์จะตีบทแตกเพราะพวกวาดะห์เป็นคนในพื้นที่และเป็นคนอิสลามเหมือนกันน่าจะทำได้ไอเฉลิมคิดว่า.   และมีคนบางคนในกลุ่มวาดะห์ที่ร้อนตัวต้องการที่จะโชว์ผลงานให้รัฐบาลสยามเห็น เพื่อตัวเองจะได้มีหน้ามีตาในสังคมสยามอย่างเมื่อก่อน  แต่ไม่รู้ว่าไอเฉลิมจะจ้างเงินเท่าไรให้พวกนักแสดงกลุ่มวาดะห์ชุดนี้ แต่ขอบอกว่าถ้าคนปาตานียังไม่ได้ของที่เคยเสียไปให้คนสยามกลับคืนมา  ตราบนั้นความสงบจะไม่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเราก็ยอม.

มะรอโซ จันทราวดี : จากเหยื่อสู่ แกนนำ RKK

มะรอโซ จันทราวดี : จากเหยื่อสู่ แกนนำ RKK

HIDUP INI UNTUK ALLAH DAN NEGARA PATANI
Kisah Hidup Mat Roso, Pejuang Agama dan Bangsa.

Pengebumian telah dilakukan seperti mana mereka yang mati syahid iaitu tidak dimandikan dan tidak disembahyangkan. Beliau telah MEMWASIATKAN kepada isterinya jika gugur syahid maka kebumikan seperti telah di syariaatkan kepada orang mati syahid.
Ibunya bernama Cik Nik berumur 53 tahun
———————————————–
Selepas peristiwa Taba/takbai, Mat Roso telah banyak berubah. Mat Roso menceritakan bahawa dalam peristiwa Takbai/Taba dia telah disusun bertindih-tindih, ditendang dan tangan diikat. Semasa dalam Lori/truck Tentera, dia berusaha membuka ikatan di tangan dan Berjaya. Beliau telah membantu membuka ikatan kepada rakan-rakan. Dalam perjalanan itu, mereka ditendang dan dipukul dengan M-16 di badan. Selepas peristiwa itu beliau sentiasa bercerita akan kekecewaan
Atas perbuatan KAFIR SIAM LAKNATULLAH ke atas umat Melayu yang tidak bersalah.
Isteri Mat Roso ialah Rosni. Rosni telah menceritakan tentang kehidupan Mat Roso
———————————————–
Mat Roso adalah seorang yang bertimbang rasa dan tidak suka menyusahkan orang. Beliau tidak pernah pergi menumpang rumah saudara-mara atau rakan-rakan.
Beliau akan tidur di dalam hutan iatu tidur di atas buaian tentera/cradle/No (bahasa Patani). Beliau bekerja kuat dalam menuntut kemerdekaan dan kebebasan bagi Negara Patani. Saya rasa kasihan kerana suami terpaksa hidup dalam persembunyian dan sangat letih dalam tugasan menuntut kemerdekaan.

Mat Roso selalu berpesan agar menghantar 2 anak perempuannya belajar agama dan kalau boleh belajar di sehingga ke luar Negara. Dia suruh anak-anaknya belajar setinggi yang mampu.

Mat Roso adalah seorang yang dikasihi oleh ahli keluarga, sentiasa bekerja kuat untuk kebahagiaan keluarga. Beliau adalah seorang yang sangat sayang pada anak-anak, apa yang anak mahu dia akan usaha mendapatkannya.

Apabila mendapat tahu berita dari pihak tentera akan kematiannya, saya berkata dalam hati “Tugasannya telah selesai”.

Rosni menambah”saya rasa bangga kerana suami telah melaksanakan tugas sebagai seorang ketua keluarga yang baik, Rosni tidak rasa sedih kerana Isteri Suhaidi iatu rakan karib kepada Mat Roso juga telah gugur syahid dan isterinya juga tidak rasa sedih.
Petanyaan terakhir ditanya kepasa Isteria Mat Roso, “Apakah tujuan Mat Roso melakukan semua itu?

Rosni menjawap “SEMUA SUDAH TAHU TETAPI BERTANYA LAGI” Hidup matinya kerana Allah dan Negara Patani.

……………………………………………………………………….

ปฐมเหตุของความคับแค้น

นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ อายุ 53 ปี ผู้เป็นแม่ได้เล่าว่า หลังจากเหตุการณ์ประท้วงที่หน้า สภ.ตากใบ มะรอโซก็เปลี่ยนไปมาก มะรอโซกลับมาเล่าเหตุการณ์ตากใบให้คนที่บ้านฟังว่า วันนั้นตนเองโดนซ้อนทับ โดนถีบ มัดมือ ในรถบรรทุกของทหารที่จับตัวผู้ชุมนุมในคราวนั้น โดยได้ขนผู้ชุมนุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี ในขณะที่อยู่บนรถตัวเค้าเองพยายามดิ้นจนเชือกหลุดและได้ช่วยแก้มัดที่ข้อมือให้เพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่บนรถคันเดียวกัน โดยตลอดทางเค้าก็โดนถีบโดนเจ้าหน้าที่เอาปืนทุบที่ร่างกายของผู้ชุมนุมที่อยู่บนรถตลอดทาง มะรอโซได้บอกที่บ้านเสมอว่า เค้ารู้สึกเจ็บปวดและแค้นใจมาก เพราะว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

“ตอนกลับมาจากที่ชุมนุมใหม่ๆมะรอโซชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลย” นางเจ๊ะมะ เจ๊นิ ผู้เป็นแม่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับลูกชายของตนเอง

ขณะที่พูดคุยกับแม่ของนายมะรอโซ สังเกตได้ว่า แม่ของนายมะรอโซ ย้ำว่ารู้สึกผิดหวังกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฎิบัติต่อผู้ชุมนุมเหตุการณ์ตากใบในครั้งนั้นเป็นอย่างมากและได้ย้ำตลอดว่า นายมะรอโซเปลี่ยนไป กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยได้คุยอะไรกับเค้า ทั้งที่จริงก่อนหน้านั้นนายมะรอโซ เป็นคนขยันขันแข็ง มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ปลอกมะพร้าวขาย นำเสื้อผ้ามาขาย ทำเรื่องการค้าขายเก่ง ฯลฯ แต่เหตุการณ์ตากใบได้ทำให้นายมะรอโซกลายเป็นคนละคน

หลังจากนั้นไม่นานได้เกิดเรื่องใหญ่ในหมู่บ้านมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดรถเจ้าหน้าที่ทหารที่ลาดตระเวนในหมู่บ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิตทันที 10-11 คน ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนั้น นายมะรอโซถูกศาลออกหมายจับในคดีข้างต้น จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมาชื่อของนายมะรอโซ ก็เป็นที่ต้องการของเจ้าหน้าที่ ทำให้นายมะรอโซต้องหนีออกจากหมู่บ้านโดยทันที ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ของอำเภอบาเจาะ ชื่อของนายมะรอโซได้ถูกระบุชื่อเกือบทุกครั้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกกรณี ไม่ว่าในฐานะผู้ปฎิบัติการเองหรือเป็นผู้สั่งการ !!!

เพื่อไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจการกระทำของผู้ใช้ความรุนแรง ‪เพื่อจะเข้าใจวงจรการแก้แค้นและแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการรับมือ รวมทั้งตั้งคำถามว่า ยุทธการจิตวิทยาของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังมีช่องว่างอย่างไร ‪ หากจะตอบด้วยกรณีของนายมะรอโซ ช่องว่างที่ว่านี้ น่าจะเป็นเรื่องการไม่ทำความเข้าใจ ความรู้สึกถึงการไม่ได้รับความยุติธรรม และเป็นเงื่อนไขที่มีนักรบรุ่นใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ หากแค่เพียงในรอบทศวรรษกลุ่มขบวนการสามารถผลิตผู้ใช้ความรุนแรงได้เป็นจำนวนมาก และมีประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งในเชิงการต่อสู้กับกองกำลังของรัฐ

ทั้งนี้ น่าสนใจว่าหากเป็นประสบการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากมีส่วนร่วมทางการเมืองและเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการประท้วง ชุมนุม กดดันผู้มีอำนาจรัฐ ได้รับผลของการสลายชุมนุมเฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ตากใบ ความรู้สึกคับข้องใจ โกรธแค้น และความรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมจะมีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร มีข้อถกเถียงอย่างไร และจะสามารถนำไปสู่การสร้างแนวทางในการจัดการกับความรู้สึกที่ไม่ได้รับความยุติธรรมได้อย่างไร

ครอบครัวมะรอโซ

การตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ก็ได้ทำให้ครอบครัวของมะรอโซ ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามและบุกค้นบ้านอยู่บ่อยครั้ง นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังว่า ตนเองยังเคยโดนจับข้อหามีกระสุนปืนวางอยู่บนกล่องน้ำตาลทรายในบ้าน หลังจากเจ้าหน้ามาค้นบ้านทำให้แม่โดนจับไปที่ค่าย แต่ขังได้ไม่นานก็ปล่อยตัวกลับมา และน้องชายของนายมะรอโซก็โดนขังมาแล้ว 21 วัน ในข้อหาขว้างระเบิด แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ ก็ต้องปล่อยตัวออกมา แม่ของนายมะรอโซ วิเคราะห์ให้ฟังว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อครอบครัวก็เพื่อต้องการบีบบังคับให้นายมะรอโซออกมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ

สำหรับน้องชายของนายมะรอโซ ที่มีใบหน้าเหมือนกับพี่ ก็เคยโดนเจ้าหน้าที่ทหารจับในหมู่บ้านมาแล้ว โดยเจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นนายมะรอโซ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์วันหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้น้องชายหมอบลงกับพื้นและจะลั่นไกยิง แต่ผู้เป็นแม่ตะโกนออกมาว่านั้นคือน้องชายของนายมะรอโซ

ขณะที่ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังและพลางชี้นิ้วไปหาน้องชายของนายมะรอโซที่กำลังยืนละหมาดใกล้ๆ แล้วกล่าวเบาๆว่า “น้องชายของนายมะรอโซแกสติไม่ค่อยดี” ทำไมต้องมาทำอย่างนี้อีก ส่วนรุสนีผู้เป็นภรรยากล่าวเสริมและย้ำว่า น้องชายหน้าเหมือนพี่ชายจริงๆ สองคนพี่น้องหน้าเหมือนกันมาก

นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ ผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังอย่างออกรสว่า ทหารมาค้นที่บ้านบ่อยมาก หลังๆ นี้หากว่าฉันอยู่ ทหารจะไม่ค่อยเข้ามาในบ้าน จะยืนอยู่หน้าบ้าน เพราะฉันจะด่าไม่หยุด จะด่าตลอด ทำไมต้องมาค้นบ้านทุกวันด้วย แต่หากว่าฉันไม่อยู่ทหารก็จะเข้ามาในบ้าน หากพิจารณาประสบการณ์ของครอบครัวนายมะรอโซ ดูเหมือนว่าหน่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐมาเยี่ยมบ่อยกว่าญาติมิตรซะอีก

สำหรับการเสียชีวิตครั้งนี้ของนายมะรอโซ ผู้เป็นแม่รับได้ ไม่ได้กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเป็นการต่อสู้กันทั้งสองฝ่ายที่มีอาวุธ แต่ก็เชื่อและมั่นใจว่าลูกของตนเองเป็นคนดี แต่เหตุการณ์ตากใบต่างหากที่ทำให้ลูกเค้าต้องเปลี่ยนไปจนกระทั่งเสียชีวิต ทั้งๆ ที่การชุมนุมวันนั้นมะรอโซแค่เดินทางผ่านไปยังเส้นทาง ที่มีการชุมนุมเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไปร่วมชุมนุมแต่อย่างใด

ชีวิตรัก นักรบ

ปี 2548 หลังจากเหตุการณ์ตากใบหนึ่งปีให้หลัง นายมะรอโซ ก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกับ รุสนี แมเราะ อายุ 25 ปี ภรรยาของนายมะรอโซ ได้เล่าว่า ก่อนตัดสินใจแต่งงานกับนายมะรอโซ มะรอโซได้บอกกับตนแล้วว่าชีวิตของเค้าเป็นอย่างไร มะรอโซบอกว่า ตนเองนั้นมีหมายจับอยู่หลายคดีและชีวิตต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะยอมแต่งงานกับเค้าไหม ? คำตอบของนางรุสนี ก็คือ ได้ตอบตกลงแต่งงานและครองรัก ไม่ได้ครองเรือน ตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา…

การดำเนินชีวิตคู่ของนายมะรอโซ ช่วงแรกๆก็ต้องไปใช้ชีวิตที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไปได้ไม่นาน ก็กลับมาบ้าน เพราะมาเลเซียก็ไม่สามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ดีนัก ประกอบกับไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่มาเลเซีย ทำให้ทั้งสองต้องเดินทางกลับมาที่บาเจาะ บ้านเกิดอีกครั้ง แต่สำหรับนายมะรอโซ แน่นอนไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ เพราะมีหน่วยทหารและเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นที่บ้านเกือบทุกวันตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่ง เที่ยงคืนของวันที่ 13 กุมพาพันธ์ หลังจากที่มะรอโซเสียชีวิตแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยังมาบุกค้นบ้านนายมะรอโซ

“เจ้าหน้าที่จะมาค้นบ้านเสมอและฝากบอกที่บ้านว่าให้บอกนายมะรอโซ ให้มามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ฉันก็เคยพูดกับเค้าว่าจะมอบตัวไหม เค้าก็ตอบว่า เค้ามีหมายจับจำนวนมาก ถึงมอบตัวก็ไม่คุ้มและคงไม่มีโอกาสได้ออกมา” รุสนี แมเราะกล่าวทิ้งท้าย

ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 วัน มีเจ้าหน้าที่ทหาร 4 คันรถ มาบุกค้นที่บ้านถือว่าเป็นครั้งล่าสุดก่อนที่มะรอโซจะเสียชีวิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากนายมะรอโซโดนเจ้าหน้าที่ตามล่าอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนถึงขั้นกล่าวว่า

“หากบาเจาะไม่มีมะรอโซ พื้นที่นี้จะสงบสุขทันที”

และตลอดระยะเวลาตามล่าตัว บุกค้นบ้านนายมะรอโซอย่างหนัก รุสนีก็ได้มีพยานรักกับนายมะรอโซ สองคน เด็กผู้หญิงอายุ 6 ขวบ และเด็กผู้ชายอายุ 17 เดือน มะรอโซกลับมาเยี่ยมลูกเดือนละสามครั้ง ครั้งล่าสุดนายมะรอโซได้มาเยี่ยมตอนกลางคืนของวันจันทร์ที่ 11 กุมพาพันธ์ สองคืนก่อนเกิดเหตุ ซึ่งครั้งนั้นอยู่ได้ไม่นานเท่าไร แต่การติดต่อครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย การสื่อสารทางเสียงเกิดขึ้นเมื่อคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณสามทุ่ม

“อาแบได้โทรมาคุย ฉันก็ถามว่าวันนี้จะกลับมาไหม อาแบบอกว่าคืนนี้มีงานนิดหน่อย และไม่แน่อาจจะกลับมาบ้าน”

ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นรุสนีได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลายสายจากทหารที่คุ้นเคยกันดี ได้โทรมาบอกว่า นายมะรอโซอาจจะตายแล้ว และจะโทรมาบอกอีกครั้ง หกโมงเช้ารุสนีก็ได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง ยืนยันว่านายมะรอโซได้เสียชีวิตแล้ว รุสนีได้เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาล หากแต่ทว่าศพของนายมะรอโซ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับกลับไป เพราะว่ามีผู้ใหญ่ของเจ้าหน้าที่รัฐต้องการดูศพจำนวนมาก ทำให้กว่าได้รับศพกลับบ้านก็ตอน 11 โมงแล้ว

สำหรับบรรยากาศพิธีการฝังศพของนายมะรอโซ มีคนจำนวนมากมาร่วมงานศพและกล่าวสรรเสริญ พร้อมทั้งอวยพรให้ศพของนายมะรอโซ แต่ในเย็นวันนั้นหลังจากงานศพของนายมะรอโซ เด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านก็โดนเจ้าหน้าที่รัฐจับไป 3 คน หลังจากเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมหมู่บ้านอีกครั้ง

พิธีฝังศพก็เป็นไปในตามแบบฉบับของนักต่อสู้ ก็คือการไม่อาบน้ำศพและไม่ละหมาดศพ ฝังโดยทันที และเป็นไปตามความต้องการของผู้ตายที่ได้กำชับภรรยาใว้ ก่อนหน้านี้

รุสนีได้เล่าให้ฟังว่า มะรอโซเป็นคนที่เกรงใจคน ไม่ยอมไปหลบซ่อนหรือขอนอนบ้านชาวบ้าน เพราะเกรงว่าจะทำให้ชาวบ้านต้องเดือดร้อน มะรอโซก็จะผูกแปลนอนในป่าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวเราก็สงสารเพราะแฟนเหนื่อยมาก ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แฟนทำงานหนักมากและมีความตั้งใจอย่างมาก

มะรอโซเค้ามักย้ำกับภรรยาเสมอว่า อยากให้ลูกสาวเรียนศาสนาเยอะๆ หากเป็นไปได้ อยากให้เรียนถึงต่างประเทศ โดยจะให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนามากๆ เพราะอยากให้ลูกทั้สองมีการศึกษาและเรียนสูงๆ เท่าที่ลูกจะเรียนได้

มะรอโซเป็นที่รักครอบครัวมาก อยากให้ครอบครัวสบายและเป็นคนที่ตามใจลูกมากๆ ลูกอยากได้อะไรก็พยายามหามาให้ มะรอโซเป็นคนที่รับผิดชอบสูงมากต่อครอบครัว แม้ว่าชีวิตของเค้าเองจะลำบากก็ตาม เค้าได้วางแผนเรื่องครอบครัว เรื่องเศรษฐกิจ การศึกษาของลูกๆ เพราะว่าต้องการให้ลูกเรียนสูงๆ โดยเฉพาะทางด้านศาสนา

หลังจากทราบข่าวจากทหารในพื้นที่ ที่ได้โทรมาบอกตอนเช้าว่า นายมะรอโซ ได้เสียชีวิตแล้ว ก็เหมือนว่าภารกิจของนายมะรอโซ เสร็จสิ้นแล้ว…

รุสนีได้กล่าวว่า เธอภูมิใจกับสามีอย่างมากที่ได้ทำหน้าที่ดูแลครอบครัวได้ดีเสมอมา และการเสียชีวิตครั้งนี้เธอไม่เสียใจเลย เพราะภรรยาของนายสุไฮดี ตะเห ผู้เป็นเพื่อนสนิทของนายมะรอโซ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย ก็ไม่เสียใจ

คำถามสุดท้ายจากผู้เขียน “นายมะรอโซทำเพื่ออะไร” ?

รุสนี ภรรยานายมะรอโซ ทิ้งท้ายว่า “ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าทำเพื่ออะไร” ? พร้อมรอยยิ้มและคว้ามือไปจับตัวเด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งเล่นซนอยู่ข้างๆ กับของเล่นชิ้นใหม่……

ความท้าทายการทำข่าวภาคใต้

ความท้าทายการทำข่าวภาคใต้

ปกรณ์ พึ่งเนตร หัวหน้าศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา และผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กล่าวถึงความท้าทายในการทำข่าวความขัดแย้งในภาคใต้ว่า หนึ่ง คืองานด้านความมั่นคง เนื่องจากรัฐบาลไทยให้กองทัพ โดย กอ.รมน. เป็นเจ้าภาพในการแก้ปัญหา เมื่อมีการทำข่าวภาคใต้ในเชิงตรวจสอบ โดยนำเสนอคนที่ไม่ได้พูด กลุ่มคนที่ถูกจับ สื่อก็จะถูกมองว่าอยู่ตรงข้ามกับรัฐ หรือไม่รักชาติ ทั้งที่บางเรื่องไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของชาติ แต่เป็นความมั่นคงของคนบางคนในกองทัพ เช่น เรื่อง GT200 แอร์ชิพ โรฮิงญา โดยวันที่มีการสอบทหารที่เกี่ยวข้องกรณีโรฮิงญา ตนเองได้ยินว่ามีทหารระดับ พ.อ. พ.ต. ร.ท. เกี่ยวข้องด้วย แต่สุดท้ายกลับมีการบอกว่าเป็นการนำรถไปช่วยขนคน ซึ่งนี่ไม่ต่างจากเรื่องเล่าที่ว่ามีตำรวจไปทลายแหล่งขายบริการ แล้วพบตำรวจซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการ แล้วได้คำตอบว่ามาล่อซื้อ ทำให้ไม่มีการสืบสวนต่อ นอกจากนี้ในการทำข่าวจะถูกคุกคามด้วยวาจา เช่น ผู้นำกองทัพไม่ให้ข่าว และยังด่ากลับ ขณะที่ลับหลัง จะมีทีมงานมาคุย ให้ข้อมูลอีกแบบ และที่ร้ายกว่านั้นในพื้นที่ยังมีการให้เงินจ้างให้นักข่าวรายงานเฉพาะสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องการด้วย

ปกรณ์ กล่าวต่อว่า สอง วิธีการนำเสนอ ลักษณะของข่าวไทยนั้นเน้นรายวัน จบแล้วจบเลย ยากที่จะมีการเกาะติด ตามจนจบ โดยยกตัวอย่างตนเองที่วานนี้ได้รับมอบหมายให้ทำรายงานเรื่องกล้องวงจรปิดถูกเผาที่ภาคใต้ ซึ่งก็ทำจนดึก พอมาเช้านี้มีข่าวกำนันเป๊าะถูกจับ เรื่องของตนคงไม่ได้ตีพิมพ์ และตลอดอาทิตย์นี้คงมีแต่เรื่องกำนันเป๊าะ ทั้งที่มาของคดี การกลับเข้าประเทศ ทั้งนี้ การทำข่าวเช่นนี้ของสื่อก็สะท้อนสังคมไทยที่ตามข่าวแบบผิวเผินด้วย สังเกตจากตอนที่ตนเองทวีตข่าวในวันตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีผู้ติดตามและรีทวีตจำนวนมาก แต่พอวันถัดมา ก็ไม่มีใครสนใจแล้ว

ปกรณ์กล่าวว่า นอกจากนี้การที่นักข่าวในพื้นที่ต้องตามข่าวรายวัน ต้องส่งข่าวให้ได้ จึงเกิดปรากฏการณ์ได้ข่าวจากรัฐฝ่ายเดียว เช่น ในการวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งว่าเป็นมือปืน มีหมายจับ 30-60 หมายจับ ขณะที่ในเว็บของกองปราบฯ นั้น คนที่เป็นมือปืนมือหนึ่งมีหมายจับเพียง 7 หมายจับเท่านั้น ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีนักข่าวคนไหนไปตามที่บ้านของผู้ตาย ไปถามความเห็นจากคนใกล้ตัวเขาเลย ทั้งนี้ ตั้งข้อสังเกตว่าหากผู้ต้องสงสัยดังกล่าวมีหมายจับจำนวนมาก ฆ่าได้หมดทุกคนก็คงเก่งมากๆ เพราะสามารถฆ่าตำรวจที่จบพลร่มได้ หรือกรณียิงครูจำนวนมากตั้งแต่กันยายนถึงสิ้นปี รวมแล้ว 11 กรณี ไม่มีใครนำเสนอต้นทางของปัญหาซึ่งคือการตายของผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนสอนศาสนาชื่อดังซึ่งน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้นอกจากนักข่าวมาเลเซีย โดยชาวบ้าน-คนในพื้นที่เชื่อว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ สร้างความชอบธรรมให้ขบวนการก่อความไม่สงบที่จะแก้แค้นคืน เกิดการเอาคืน มีการฆ่าผู้อำนวยการโรงเรียนสายสามัญของรัฐ

สาม ความท้าทายสังคมในพื้นที่เอง แยกเป็นสองส่วน คือ หนึ่ง ภาคประชาสังคม ซึ่งหลังๆ มีวาระในการเคลื่อนไหวของตัวเอง ด้านสิทธิมนุษยชนบ้าง ด้านการเมืองการปกครองเรียกร้องเขตปกครองพิเศษ ทำให้สื่อทำงานยาก บางทีเสนอมุมที่แตกต่าง องค์กรเหล่านี้ไม่ยอมรั ตอบโต้หรือกดดันสื่อ อีกกลุ่มคือ สังคมในพื้นที่ที่มีกระแสอิสลามภิวัฒน์สูง ตัวเองโดนกดดันเยอะ เพราะไม่ได้เป็นมุสลิมและทำงานในส่วนกลาง ทำให้ไม่ได้รับความเชื่อถือ ไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกัน หรือพูดภาษาเดียวกัน ทั้งที่นักข่าวของตนเป็นคนในพื้นที่อยู่แล้ว

Konflik 40 tahun berakhir

NAJIB Tun Razak dan Benigno Aquino III menyaksikan detik bersejarah pertukaran dokumen Perjanjian Rangka Kerja Mengenai Bangsamoro antara wakil kerajaan Filipina, Dean Marvic Leonen (depan, kanan) dengan wakil Barisan Pembebasan Islam Moro (MILF), Mohagher Iqbal (depan, kiri) di Istana Malacanang, Manila, semalam.

MANILA 15 Okt. – Proses penubuhan entiti baru wilayah autonomi Bangsamoro secara rasmi bermula hari ini apabila Perjanjian Rangka Kerja Mengenai Bangsamoro dimeterai antara kerajaan Filipina dan Barisan Pembebasan Islam Moro (MILF) di Istana Malacanang di sini tepat pukul 3 petang ini.

Detik-detik penuh bersejarah itu yang turut disaksikan Perdana Menteri, Datuk Seri Najib Tun Razak dan Presiden Benigno Aquino III, merupakan tanda persetujuan kedua-dua pihak untuk menamatkan konflik berdarah lebih 40 tahun di wilayah selatan Filipina itu yang telah meragut lebih 120,000 nyawa.

Perjanjian Rangka Kerja Mengenai Bangsamoro setebal 13 muka surat itu mengandungi sembilan fasal utama iaitu mengenai penubuhan, undang-undang asas, kuasa kedua-dua pihak, hasil dan pembahagian kekayaan; persempadanan wilayah, hak asasi penduduk, peralihan dan pelaksanaan; normalisasi dan lain-lain.

Mengenai penubuhan entiti baru itu, Bangsamoro akan menggantikan Wilayah Autonomi Islam Mindanao (ARMM) dan ia diharap menjadi realiti menjelang 2016, iaitu sebelum penggal pemerintahan Aquino III berakhir.

Berkaitan kuasa kedua-dua pihak, perjanjian itu antara lain mengakui keperluan mengukuhkan Mahkamah Syariah dan membenarkan Bangsamoro menguatkuasakan sistem keadilan Syariah kepada umat Islam di wilayah itu.

Turut menyaksikan upacara itu bagi pihak MILF mewakili penduduk wilayah selatan Filipina yang majoritinya beragama Islam adalah pengerusinya, Murad Ebrahim.

Perasaan gembira Murad bersama sekumpulan pemimpin dan perwakilan lain MILF yang turut dijemput pada upacara di dalam Dewan Rizal di istana itu dengan sebahagiannya menitiskan air mata kesyukuran, pasti dikongsi penduduk wilayah baru Bangsamoro yang mengimpikan kehidupan lebih selamat, sejahtera dan terbela.

Perjanjian itu ditandatangani Pengerusi Panel Perundingan MILF, Mohagher Iqbal dan rakan sejawatannya daripada pihak kerajaan Filipina, Dean Marvic Leonen. Ia turut ditandatangani sebagai saksi perjanjian oleh fasilitator perundingan dari Malaysia, Datuk Tengku Ab. Ghafar Tengku Mohamed.

Turut menyaksikan peristiwa bersejarah itu adalah isteri Perdana Menteri, Datin Seri Rosmah Mansor, menteri-menteri kabinet Filipina dan Malaysia termasuk Menteri Luar, Datuk Seri Anifah Aman; Menteri Pertahanan, Datuk Seri Dr. Ahmad Zahid Hamidi; dan Menteri Perdagangan Antarabangsa dan Industri, Datuk Seri Mustapa Mohamed.

Hadir sama Setiausaha Agung Pertubuhan Kerjasama Islam (OIC), Ekmeleddin Ihsanoglu dan Penasihat Presiden bagi Proses Perdamaian, Teresita Quintos-Deles.

Dalam pada itu, Najib dalam ucapannya menyatakan komitmen Malaysia untuk membantu selatan Filipina khususnya menawarkan latihan dan pendidikan supaya masa depan anak-anak di Bangsamoro lebih terjamin.

Beliau memberi jaminan kepada keseluruhan rakyat Filipina bahawa Malaysia bersama-sama negara ini ke arah merealisasikan pelaksanaan perjanjian yang dimeterai hari ini.

“Hari ini, sesuatu telah berubah. Hari ini kita akan meninggalkan keganasan dan beralih ke arah masa depan yang baru dan lebih cerah,” katanya sambil diberi tepukan gemuruh oleh kira-kira 500 tetamu yang hadir termasuk diplomat asing.

Presiden Aquino III dalam ucapannya selepas itu pula mengucapkan terima kasih kepada semua pihak yang telah membantu merealisasikan usaha perundingan sehingga termeterainya perjanjian tersebut termasuk kerajaan Malaysia yang sentiasa memberi komitmen tinggi.

Utusan

Philippines signs pact with Islamists

MANILA : Philippine President Benigno Aquino said his government reached a preliminary agreement with Muslim rebels to end a decades-long insurgency that has killed at least 100,000 people and stunted growth in the mineral-rich south.

A new political group called “Bangsamoro” will take the place of the autonomous region in Mindanao, Mr Aquino said in Manila Sunday. The designation “Bangsamoro” – loosely translated as Area of the Moro, or native southerners –  has been used by the MILF for years to describe their “liberated area” during the southern war.

Talks between Philippine officials and the Moro Islamic Liberation Front concluded in the Malaysian capital Kuala Lumpur, and Mr Aquino and Malaysian leader Najib Razak will witness the signing of the accord in Manila next Monday.

“This framework agreement paves the way for a final, enduring peace in Mindanao,” Mr Aquino said, flanked by his cabinet. “This means that hands that once held rifles will be put to use tilling land, selling produce, manning work stations, and opening doorways of opportunity for other citizens.”

While economic growth in the Philippines is accelerating, the insurgency has frustrated efforts by companies including Xstrata Plc (XTA) and Sumitomo Metal Mining Co. to tap an estimated $312 billion in mineral deposits in the south, and damaged Mr Aquino’s efforts to further boost foreign investment. Death squads that human-rights groups have linked to police and the military, contract killings over land disputes, and al-Qaeda- affiliated terrorists in Mindanao add to the mix of violence as the nation pursues its first investment-grade credit rating.

The benchmark Philippine Stock Exchange Index has gained about 24 per cent this year, while the peso climbed 0.7 per cent last week to complete its biggest weekly gain in a month.

“It could help sustain the rally in the stock market,” Astro del Castillo, managing director at First Grade Finance Inc., said by phone from Manila Sunday. “It’s one of the islands that’s really underdeveloped. If there is peace, investments will pour in and push the economy of the country higher.”

The Philippines ranked 126th of 144 countries in the latest World Economic Forum survey on the cost to business from terrorism. Fifty-four per cent of mining companies said issues such as attacks by terrorists, criminals and guerrilla groups are a strong deterrent for investors in the Philippines, the second-highest among 93 jurisdictions in a Fraser Institute poll released in February.

“We fully support the ongoing peace process and hope the parties can continue to avoid violence as they work toward a final resolution that will last for generations and benefit all the people of the Philippines,” US Ambassador Harry K. Thomas, Jr. said in a statement from Manila Sunday.

The violence also exacerbates poverty, a Jan 26 report by the Philippine foreign chambers of commerce said. About 30.3 per cent of the people in Mindanao, home to about a quarter of the Philippines’s 100 million people, said they had nothing to eat for at least one day in the three months to August, the highest of the nation’s three main regions, according to a survey by Manila-based polling company Social Weather Stations released Oct 1. That was the highest among the country’s three main regions, and up from 24 per cent in March 2010, before Mr Aquino was elected.

Mr Aquino has taken steps to contain the nation’s budget deficit and lure foreign investors as he increases state spending to a record and aims to spur growth to as much as 7 per cent in 2013. The government has boosted asset sales and tax collection as it steps up investment in infrastructure including roads and ports to create jobs and reduce poverty.

Standard & Poor’s in July raised the country’s debt rating to BB+, one level below investment grade, citing improved prospects for economic growth. The $225 billion economy expanded 5.9 per cent last quarter and 6.1 per cent in the first half of the year, according to government data.

“It adds to the positive momentum in the Philippines,” said Frederic Neumann, co-head of Asian economic research at HSBC Holdings Plc in Hong Kong. “The economy is doing very well, and a peace deal is going to help sentiment quite a bit. There have been false starts in past years in terms of the peace process. So there is also likely to be some wait-and-see attitude to see if this one sticks. We remain fairly optimistic about this as it’s clearly going on the right track.”

As the island farthest from Manila, Mindanao hasn’t been at the top of government spending priorities, keeping many of its provinces underdeveloped and helping engender a sense of resentment. The US set up a military base in Zamboanga on the west coast of Mindanao and has had about 600 troops stationed there for the past decade to combat terrorists.

Waves of migration by Catholic settlers have overwhelmed Mindanao’s Muslim population, which had resisted Spanish conquest. Now outnumbered about five-to-one, they are concentrated in many of its poorest areas.

Mr Aquino Sunday called the previous setup a “failed experiment.” The new agreement will add six towns and several villages to the five provinces of the region and see rebel fighters disarmed, he said. A final peace agreement may be signed within the year, Mr Aquino’s spokesman, Edwin Lacierda, said on Oct 3.

“Mindanao holds tremendous opportunity for investors,” Rommel Banlaoi, executive director of the Philippine Institute for Peace, Violence, and Terrorism Research in Manila said by telephone. The framework agreement shows that the peace process is moving forward, “but more work needs to be done” before negotiators arrive at a final settlement, he said.

……………………………………………………………………………………………………..

ฟิลิปปินส์บรรลุข้อตกลงสันติภาพกับกบฏมุสลิม

ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาอย่างยาวนานกับ MILF – แนวร่วมขบวนการปลดปล่อยอิสลามโมโร) ซึ่งจะเป็นการยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาถึง 40 ปีและมีผู้เสียชีวิตไปกว่า  120,000 คน

รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มกบฏมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ นาย Benigno Aquino  ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าว

ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาอย่างยาวนานกับ Moro Islamic Liberation Front  (MILF  – แนวร่วมขบวนการปลดปล่อยอิสลามโมโร) ซึ่งจะเป็นการยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาถึง 40 ปีและมีผู้เสียชีวิตไปกว่า  120,000 คน

ข้อตกลงนี้จะส่งผลให้เกิดเขตปกครองตนเองใหม่ในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ซึ่งมี ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม   ประเทศฟิลิปปินส์มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์

กลุ่ม MILF  “พอใจมาก” กับข้อตกลงนี้ โฆษกของ MILF กล่าว

การ บรรลุข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการพูดคุยในประเทศมาเลเซียและคาดว่าจะมีการ ลงนามอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 ตุลาคมในกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ ข้อตกลงนี้ระบุว่า  ฝ่ายต่างๆ มีพันธสัญญาที่จะทำตาม  “ข้อตกลงที่รอบด้าน” นี้ภายในสิ้นปี

“กรอบของข้อตกลงนี้เป็นการปูทางไปสู่สันติภาพสุดท้ายที่ยั่งยืนใน มินดาเนา”  นาย Aquino ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวในสุนทรพจน์เพื่อประกาศข้อตกลงนี้

เขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “การทำงานนี้ไม่ได้สิ้นสุดแค่นี้  ยังคงมีรายละเอียดที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงกัน”

ผู้สื่อข่าวกล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นหมุดหมายที่แสดงให้เห็นถึง พัฒนาการที่สำคัญอย่างยิ่ง  แม้ว่าความพยายามด้านสันติภาพก่อนหน้านี้จะล้มเหลวและการเจรจากับกลุ่ม MILF ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาถูกแทรกด้วยการใช้ความรุนแรงตลอดมา

ประธานการเจรจาในฝ่ายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ Marvic Leonen กล่าวกับ บีบีซีว่าข้อตกลงสันติภาพใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองมากกว่าข้อ ตกลงก่อนหน้านี้ หลังจากคณะเจรจาได้ทำการปรึกษาหารือกับกลุ่มคนมุสลิม คริสต์ และองค์กรปกครองในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคกว่า 100 ครั้ง

นาย Ghazali Jaafar  รองประธานฝ่ายการเมืองของกลุ่ม  MILF กล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่า “พวกเราพอใจมากๆ  พวกเราขอขอบคุณประธานาธิบดีในเรื่องนี้”

พวกเขาหวังว่าจะมีการดำเนินการจริงในพื้นที่ตามข้อตกลงนี้ก่อนที่วาระของรัฐบาลของประธานาธิบดี Aquino จะหมดลงในปี ค.ศ.  2016

ทลายความไม่ไว้วางใจ
ประธานาธิบดี Aquino กล่าวว่าเขตปกครองตนเองใหม่จะถูกตั้งชื่อว่า บังซาโมโร (Bangsamoro)  ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามกลุ่มโมโรซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น

“กรอบข้อตกลงนี้เป็นการก้าวข้ามพ้นอคติของเรา” ประธานาธิบดีกล่าว

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทลายความไม่ไว้วางใจและการมองแบบเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความพยายามที่ผ่านมาในอดีต”

ข้อตกลงซึ่งเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาจะนำไปสู่การจัดตั้ง  “คณะกรรมการในระยะเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งจะได้รับมอบหมายให้ร่างกฎหมายเพื่อบังคับใช้ข้อตกลงนี้

ข้อตกลงที่ถูกร่างขึ้นนี้จะให้อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้นกับผู้ นำของ Bangsamoro จะทำให้เกิด “การแบ่งปันที่เป็นธรรมและเท่าเทียม” ในเรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และจะตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่ยากไร้ให้ดีขึ้น

นอกจากนี้  ข้อตกลงนี้ยังกำหนดให้ MILF ดำเนินการสลายกองกำลังอย่างเป็นขั้นเป็นตอน”  และได้ระบุว่าทั้งสองฝ่ายจะทำงานเพื่อ “ลดและควบคุมอาวุธปืนและยุบเลิกกองกำลังส่วนตัวและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ”

การบังคับใช้กฎหมายจะถูกถ่ายโอนจากกองทัพไปยังตำรวจของ Bangsamoro  “ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป”

MILF ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการแยกตัวจากกลุ่มกบฏอีกกลุ่มหนึ่งในค.ศ. 1977 ได้ประกาศยกเลิกเป้าหมายในการต่อสู้เพื่อสร้างรัฐอิสระของคนมุสลิมไปก่อน หน้านี้

ประธานาธิบดี Aquino ได้ยอมรับเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าเขตปกครองตนเองในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลของข้อตกลงที่เกิดขึ้นในค.ศ. 1989 เป็น “การทดลองที่ล้มเหลว”

นายกรัฐมนตรี Najib Razak  แห่งมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพนี้ตั้งแต่ค.ศ. 2001 กล่าวว่า เขา “รู้สึกยินดี” กับ “ข้อตกลงประวัติศาสตร์”

“สิทธิ ศักดิ์ศรีและอนาคตอันรุ่งเรืองของคน  Bangsamoro  จะได้รับความคุ้มครอง ในขณะเดียวกัน อำนาจอธิปไตยและรัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ก็จะได้รับการรักษาไว้เช่นเดียวกัน” เขากล่าว

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีมากกว่า 7,000 เกาะและมีประชากรกว่า 95 ล้านคน ประเทศนี้ได้เผชิญกับกบฎแบ่งแยกดินแดนในมินดาเนา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่ม MILF และในโจโล ซึ่งเป็นที่ตั้งของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง Abu Sayyaf  ซึ่งเชื่อกันว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอัลเคด้า

นอกจากนี้  ยังมีกลุ่มกบฏคอมมิวนิสต์ซึ่งได้ต่อสู้แบบกองโจรในหลายพื้นที่ของประเทศมาตั้งแต่ค.ศ.  1969

 

แม่ค้าปัตตานีหยุดขายวันศุกร์แล้ว

แม่ค้าปัตตานีหยุดขายวันศุกร์ไม่เชื่อความปลอดภัยแม้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจะให้ความคุ้มครอง

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากมีข่าวการห้ามไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้นำสินค้ามาวางจำหน่ายตามตลาดนัดภายในวันศุกร์ และตลอดจนการประกอบอาชีพอื่นๆที่เข้าข่ายต้องหยุดเป็นเหตุชาวบ้านหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะนำสินค้ามาวางจำหน่ายตามปกติ เพราะชาวบ้านต่างก็ลือว่าถ้าใครไม่เชื่อหรือยังคงดำเนินค้าขายจะไม่ รับประกันความปลอดภัยบ้างก็บอกว่าจะถูกตัดใบหู จะถูกดักยิงบ้าง มากไปกว่านั้นอาจจะถูกวางระเบิด โดยยกกรณีเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่บริเวณชุมชนตลาดสดสายบุรี เหตุเมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะเคยถูกห้ามมาก่อนหน้าที่เกิดเหตุว่าให้หยุดวันศุกร์ ยกเว้นร้านทองทางชมรมมีมติเห็นควรเปิดทำการต่อ เพราะไม่เชื่อกับข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงข่าวลือ.

ล่าสุดที่ตลาดสดเทพวิวัฒน์ เทศบาลเมืองปัตตานี พ่อค้า แม่ค้า ในตลาดได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะหยุดขายของภายในวันศุกร์นี้ เพราะไม่เชื่อในความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน แม้ทางจังหวัดปัตตานีตลอดจนหน่วยงานดูแลรับชอบความปลอดภัยของประชาชนใน พื้นที่ออกมาข้อร้องให้ทุกคนดำเนินค้าขายเป็นปกติ โดยรับที่จะมาอาสาดูแลความปลอดภัยให้ แต่พ่อค้าและแม่ค้ายังคงไม่เชื่อมั่นในมาตรการดูแลความปลอดภัยยิ่งถ้ามีเจ้า หน้าที่เข้ามาในตลาดบ่อยๆยิ่งทำให้เกิดความหวาดผวามากขึ้นเพราะอาจตกเป็น เหยื่อของสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

ด้านนายดิสพูน จ่างเจริญ เจ้าของภัตคารจงอา กล่าวว่า ในส่วนตัวแล้วยังไม่อยากหยุดวันศุกร์ เพราะวันศุกร์จะมีลูกค้าประจำจะมาสร้างสรรค์เป็นประจำ ซึ่งต้องถือได้ว่าเป็นวันสร้างรายได้ให้กับทางร้านก็ว่าได้ แต่ศุกร์พรุ่งนี้ต้องยอมหยุดไปกับเขาเหมือนกันเพราะแม้ค้าในตลาดเขาหยุดกัน หมดจึงไม่มี ปูปลา กุ้ง สดๆเข้ามาจำหน่ายเหมือนเดิมเนื่องจากทางภัตคารเราจะใช้ของสดใหม่เท่านั้น ครั้งนี้เป็นวิกฤติที่ส่งผลต่อบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ได้

“เรากองกำลังต้องพร้อมทุกอย่าง เรามีกลไก มีเครื่องทั้งเรื่องมือ และอุปกรณ์ แต่กลับไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้เลย แค่เรื่องห้ามค้าขายวันศุกร์เรื่องเดียวอย่างไม่มีหลักประกันในความปลอดภัย ยังมากแค่มาเดินขอร้องคนนี้ที คนนั้นทีเพื่อไม่ให้หยุดค้าขายวันศุกร์ เพราะกลัวจะกลายเป็นผู้แพ้ของการเป็นคู่แข่ง นี้มันไม่ใช่กรีฑาที่เอาแค่แพ้ชนะ แต่มันหมายถึงชีวิตของคน ทำไมต้องเอาชีวิตของคนเดินพันด้วย จึงอยากให้หน่วยงานเริ่มทบทวนบทบาทของตัวเอง ว่าต่อจากนี้เราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เพราะครั้งเราแพ้กับข่าวลือที่เริ่มต้นมาจากไหนทำไมการข่าวในพื้นที่ไม่รู้ ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ต้นต่อมาจากไหน ใครเป็นคนสร้างข่าว แล้วจะมีมาตรการยุติข่าวลักษณะอย่างไร”นายดิสพูนกล่าว

นอกจากนั้นยังมีร้านสหฟาร์มhealthfoodrสาขาปัตตานี  เป็นร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไก่ต้องปิดป้ายประกาศหยุดขายวันศุกร์เป็นครั้ง แรกหลังจากก่อนหน้านี้ทางร้านไม่เคยหยุดโดยจะเปิดเป็นประจำทุกวันมีเพียง ลูกจ้างที่จะสับเปลี่ยนกันหยุดในรอบสัปดาห์ โดยเฉพาะวันศุกร์ทางร้านจะมียอดขายสูงสุดมีรายได้เป็นแสน

ด้านนายมูฮัมหมัด กาสะหะ ผู้จักการสาขาปัตตานี กล่าวว่าหลังจากมีข่าวห้ามค้าขายวันศุกร์ ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ยอดขายวันศุกร์จ้องลดลงทันทีจากหลักแสนเหลือแค่หกหมื่นบาท ประกอบกับเกิดเหตุคาร์ลบอมย์ที่บริเวณชุมชนตลาดสดสายบุรี ยิ่งทำให้เราเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยของร้านและพนักงานของร้าน ทางบริษัทจึงอนุญาตให้มีการหยุดกิจการทันทีในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ โดยเริ่มศุกร์ที่ 28 ก.ย.นี้ ในส่วนการจัดกิจกรรมโปรโมชั่น ที่ทางร้านจะจัดขึ้นทุกๆวันศุกร์เปลี่ยนเป็นการจัดภายในวันพฤหัสบดีของทุก สัปดาห์แทน ซึ่งทางร้านคาดว่าอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งลูกค้าก็คงปรับตัวได้เหมือน เดิม ทั้งนี้เราถือว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน

นอกจากนั้นมีเสียงแม้ค้าในตลาดต่างพูดในเสียงเดียวกันว่าวันนี้เราต้อง พึ่งตัวเราเอง เราจะไปเชื่อคนนั้นเชื่อคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะสถานการณ์เป็นอย่างนี้เราจะไปอะไรมากกับเจ้าหน้าที่มากไม่ได้ เพราะเขาเองก็ยังถูกทำร้ายเป็นเกือบทุกวัน ยิ่งถ้าให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลแม่ค้าในตลาดเพื่อคอยทำหน้าที่คุ้มกันจะทำ ให้แม่ค้าอย่างเรากลับมีใจที่ผวาและวิตกมากยิ่งขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดเมื่อมีกระแสให้หยุดเราก็หยุดก่อน และเมื่อไรมันกลับดีขึ้นเราค่อยมาขายต่อ ตอนนี้เราถือโอกาสพักผ่อนและหาเวลาไปศึกษาธรรม ไปฟังเขาบรรยายธรรมเพื่อจิตรใจเราให้สงบดีกว่า.

Apa sebenar berlaku pada 11 September 2012

Sebagai dilaporkan melalui akhbar bertulis dan akhbar elictronic(TV, Website, Blogger dan sebagainya), bahawa pada 11 Sept yang lepas peristiwa berlaku, bahasa sebanyak 93 orang angota pemisah Patani dari gerakan BRNc

yang diketui oleh Wan Ali copter yang mempunyai harga tubuhnya sebayak satu juta bath menyerah diri kepada pihak berkuasa Thailand yang dilakonkan oleh Pelakon utama Lt.Gen. Udomchai Thammasirorat penglima Division 4 dan disusuli dengan pelakon upahan dari kumpulan party Prachatham dan diatur lakonkan di bangunan majlis agama Islam wilayah Narathiwat dan lakonan ini katanya akan dipersembahkan sekali lagi dihadapan rumbungan OIC yang akan menziarahi Thailand tidak beberapa hari lagi. Tetapi hairan sekali, dimana beradanya pelakon pelakon utama yang lain seperti Gabenor gabenor wilayah dan yang paling anih sekali dimana beradanya pengurusi pusat pentadbiran wilayah sempadan selatan(SPBAC) Thawee Sodsong???.Eh nampaknya kelucuan sekali dan kerentakan dikalangan mereka teramat sangat, tentera dengan caranya sendiri SBPAC pula dengan caranya sendiri merebut rebutkan publisiti dan budget yang amat besar itu.

Walaubagaimanapun nampaknya pihak berkuasaThailand termasuk ketua angkatan tentera daratnya iaitu Gen. Prayuth Chan-Ocha dan timbalan perdana menteri Gen. Yutthasak Sasiprapa cukup gembira dan cukup memuas hati keatas peristiwa ini dan lantas suaranya mempertahan kebenarannya sehingga Gen. Yutthasak begitu marah kepada para academic dan laman website ambra news yang cuba memperlekehkan lakonan itu, dan sekaligus juga mereka merasakan seolah olah conflict berdarah di Patani darussalam menghampiri masa penghujungnya.

Tetapi rasa dukacita juga kita apa bila sedikit saja ugutan dari Gen. Yutthasak terhadap ambranews yang sudah bermula bagi kepercayaan kepada pembaca dan ummah, lantas menggeluarkan kenyataan yang bersifat pengecut dan takut dengan mengisytiharkan bahawa, Ambranews Bukan Website Menentang Kerajaan Thai(Cuba baca article yang keluar pada 14/Sept). Ini mengigatkankan kita sekali lagi sejarah lama yang berlaku kepada seorang tokoh politik tempatan yang berhubung rapat silsilahnya dengan Assyahid Tuan Guru Haji Sulung mana beliau dengan lantang minta menjujung Al-Quran demi menafikan hubung kait beliau dengan pihak gerakan pemisah setelah agin agin meniup menuduhkan beliau oleh pihak kerajaan Thai. Harap berlapang dada dan anggapkanlah saja ini sebagai kritikkan membina. Tapi Alhamdulilah setakat ini kumpulan acdemic masih belum bergunjang.

Sebelum kita pergi kepada issu sebenar, ingin kita menyoalkan kepada pelakon pelakon semua, andai kita katakan penyerahan ini memang berlaku, adakah anda percaya bahawa perjuangan Patani akan lenyap begitu saja dan conflikt sudah selesai? Takkah penyerahan ini tidak berlaku di masa masa yang lepas? Teryatanya sekali bahawa dengan peyerahan, tangkapan dan pembunuhan itu bukan ubat untuk menyelesaikan conflikt secara berkekalan.

Kembali kepada issu asal, mengikut laporan yang kita dapat dari sumbir dalam lagi sohih katanya, Pada tanggal 11/9/2012 diadakan oleh satu party politik siam PRAKCHATHAM upacara majlis yang diberinama Majlis Rundingan diantara anggota gerakan RKK yang menyerah diri dengan pihak Penglima tentera darat bahagian 4 majlis ini bertempat di bangunan majlis agama islam wilayah Naratiwat sedangkan kebanyakan ahli jawatan kuasa majlis di beritahu sebelum itu akan diadakan majlis perjumpaan ahli anggota party prakchatham .

Seramai 93 orang lebih dari anggota party prakchatham yang hadir pada hari tersebut dengan jemputan oleh yang bertanggong jawab dalam party itu untuk datang mendengar dasar dari pihak tentera yang ada hubung kait dengan keamanan dan keselamatan mereka dari hukuman –hukuman undang darurat keatas mereka . tapi apabila di istiharkan dalam berita terjadi cerita lain .

Cadangan ini disediakan oleh ketua tentera bahagian 4 ( udomchai )dan pengurusi Party prakchatham Mukhtar Sikacik dan bekas seorang pejuang Patani Wae ali cofter .

Siapa mereka ?!

1- Ialah mereka pernah memberi sokongan kepada pihak gerakan dan bukan Dari anggota party , atau meraka ini berjuang hanya sebagai ikut pakatan ramai dan tidak paham pengertian metalamat perjuangan yang sebenar .

2- Gulungan ini juga terdiri dari kebanyakan orang-orang yang mencarai kesempatan hidup /kepentingan diri sendiri , kerana kita boleh kenal mereka semasa mengundi pada pilihan raya yng lalu , kebanyakan mereka dari huana khanaeng (หัวคะแนน ) party tersebut .

3- Ada juga dari kalangan 93 orang itu yang pernah terutang budi dengan Ajk party yang pernah menulong mereka dari blacklist dan warang tangkap ,

4- Majlis itu adalah satu tunjukan sandiwara kepada masyarakat Siam khasnya dan amnya kepada mata-mata dunia bahawa semua dasar yng sedang dijalankan adalah berkesan dan tidak menyalahi dengan peraturan undang-undang antara bangsa .

5- Majlis itu merupakan satu tindak balas pelsu diatas tunjukan kekuatan yang dilaksanakan oleh pihak gerakan pada 31/8/2012 baru-baru ini dengan cara menaikan bendera Malaysia di semua kawasan Patani .Tindak balas pelsu dari pihak siam seperti ini selalu dibuat apabila ada apa-apa tindakan besar dari pihak gerakan .

6- Lakonan ini boleh memalukan Udomchai sekali pula , sbb semua jumlah 93 orang yng hadir itu bukanya pejuang Cuma pelakon makan upah harga murah , dan dunia semua akan tahu apa hakikat sebenar dihari terdekat ini insyaallah. .

DR Patani Merdeka News

kezaliman askar siam (kafir) terhadap rakyat Patani

 

Pada tanggal 11 september 2012 telah berlaku suatu kejadian yang amat menyedihkan di sebuah kampung bernama Pulau Gasing T.mokmawi A.yarang C.patani..

Kejadian tersebut berlaku pada jam 9 malam dimana mangsa sedang berada di sebuah kedai kopi, mangsa yang bernama Abdul Rosek Demae telah didatangi oleh sekumpunlan lelaki berpakain seragam tentera berwarna hitam bersenjatakan senapang panjang, kumpulan lelaki tersebut  datang dengan sebuah kereta vigo berwarna putih,  tiga orang daripada mereka telah turun untuk mencari mangsa tinggal seorang lagi di dalam kereta, mereka telah bertanya tentang sebuah motosikal yang mana ia adalah milik mangsa,

Saksi pada tempat kejadian telah berkata mangsa ditangkap selepas mengaku bahawa motosikal itu adalah miliknya, mangsa di kilas siku dan di bawa ke kereta vigo tersebut,

Kira-kira jam 10 malam, penduduk kampung dengan dua buah kereta telah turut pergi ke tempat kejadian dan menjumpai mayat Abdul Rosek Demae di M.1 T.kolam A.yarang C.patani , keadaan mayat amat menyedihkan, terdapat kesan jerutan tali di leher mangsa dan kesan tembakan 2 das di kepala,

Menurut saksi lagi bahawa mereka telah melihat kereta vigo tersebut telah masuk kedalam kampung pada waktu petang sebelum berlakunya kejadian yang mengayat kan hati ini,

Kejadian ini menyebabkan keluarga mangsa menjadi amat sedih dan tertanya-tanya apakah kesalahan mangsa kerana beliau merupakan seorang yang baik dan merupakan penduduk kampuang yang tidak bersalah…

Ini lah kesan daripada perbuatan jahat askar siam (kafir) yang mengambil kesempatan keatas penduduk kampung yang tidak bersalah dan tidak tahu apa-apa dengan menggunakan cara Emergency Management Degrees, ini bukan lah kali pertama kejadian seperti ini berlaku dan juga tidak akan menjadi kejadian yang terakhir dan ia masih akan berlarutan dan berpanjangan selagi keadilan tidak di tegak di bumi Patani.

 

By..Patani Merdeka News

Betulkah pejuang yang serah diri ini adalah pejuang yang sebenar

PATANI, 12 Sep – Lt.Gen. Udomchai Thammasirorat penglima Division 4 mengistiharkan pada tanggal 11 September 2012 teng Mr.Wanalicopter Chehali dan rakan-rakan sebanyak 93 orang yang menyerah diri kepada kerajaan Thai di Dewan mesuarat boromrachakumari pejabat majlis agama Islam wilayah Narathiwat.  Mr. Wanalicopter Chehali ada waran tangkap dengan hadiah tangkap sebajak 1 juta Bath selama 9 tahun Mr.Wanalicopter yang bersembunyi di Malaysia. Kerajaan Thai mendakwa bahawa Mr.Wanalicopter sebagai master pland dalam kesemua kejadian yang berlaku di wilayah selatan. Kerajaan Thai sangat perlu kepada Mr.Wanalicopter untuk menjadi simbul bagi pejuang-pejuang kemerdekaan Patani sepaya menyerah diri seperti Mr.Wanalicopter dengan tidak siasat tentang diri Mr.Wanalicopter adalah pejuang atau tidak. Selama 9 tahun waran tangkap yang di keluarkan oleh kerajaan Thai di wilayah selatan di keluarkan dengan sesuka hati tidak perlu siasat dengan teliti menyebabkan ramai penduduk Patani di bahagi waran tangkap oleh kerajaan Thai. Begitu juga dengan Mr.Wanalicopter Chehali berpuluh-puluh waran tangkap dan berpuluh-puluh kes yang difitnahkan, sedangkan beliau menjadi pekebun di Malaysia.

Peran cadangan menarik orang yang dituduh sebagai pejuang dirancangkan oleh Lt.Gen. Udomchai Thammasirorat dan bekas calon wakil rakyat parti Prachatham Mukhtar Sikajik (Ta bilok), Iskandar Thamrongsab penasihat parti Prachatham dan rakan-rakan yang lain mengesahkan memanggil orang yang tertuduh untuk menyerah diri dengan kerajaan.  Kumpulan ini berusaha selama 2 tahun sehingga mereka berjaya memanggil Mr.wanalicopter menyerahkan diri dan menjaminkan bahawa Mr.Wanalicopter mendapat keadilan dan tidak menerima apa-apa hukuman dari kerajaan Thai.

Di Bangkok hari ini juga Pol.Capt Chalerm Yubamrung timbalan perdana menteri berkata kerajaan Thai tidak boleh menghapuskan kes jenayah yang di buat oleh penyerah diri walaupun mereka kembali berkerja sama dengan kerajaan dalam menyelesaikan masalah wilayah selatan. Pol. Capt Chalerm timbalan perdana menteri berkata lagi pihak askar memainkan propaganda untuk pejuang kemerdekaan Patani menyerah dengan memberi tawaran tidak menerima apa-apa hukuman itu adalah taktik askar dalam kawasan untuk menyelesaikan masalah bagi saya (Pol.Capt.Calerm Yubamrung) mereka itu tetap menerima hukuman.

Kerajaan Thai bahagikan bajet kepada Iskandar Thamrongsab, Mukhtar Sikaji dan rakan-rakan untuk menjalankan program ini dengan memberi tawaran seorang pejuang mendapat 300 ribu Bath. Dengan tawaran yang sangat banyak menyebabkan Mukhtar Sikaji yang mengaku dirinya sebagai bekas pejuang dan usaha mencari pejuang-pejuang untuk menyerah diri.

ambranews

………………………………………………………………………………….

ปาตานี , 12 ก.ย. –  พล.ท.อดุมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาค ที่ 4 ประกาศว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2555  นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ หรือ “เจ๊ะอาลี” และเพื่อนๆ อีก 93 คน ได้ยอมมอบตัวต่อรัฐบาลไทย  ที่หอประชุมบรมราชกุมารี สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จ.นราธิวาส ต.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส , นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ  ซึ่งทางการเคยตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท ฐานเป็นตัวการใหญ่ร่วมวางแผนและสั่งการให้แกนนำระดับปฏิบัติการณ์นำกำลังบุกปล้นปืนที่กองพันพัฒนา 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ที่ผ่านมา   เป็นเวลา 9 ปีที่  นายแวอาลีคอปเตอร์ หลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศมาเลเซีย   รัฐบาลไทย อ้างว่า นายแวอาลีคอปเตอร์ เป็นตัวการใหญ่ ในเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้.  รัฐบาลไทยต้องการตัว นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือสำหรับที่จะดึงใจนักรบปัตตานีให้ยอมมามอบตัวต่อรัฐบาลไทยตามความคิดของ พล.ท.อดุมชัย ธรรมสาโรรัชต์ โดยไม่ตรวจสอบหรือสืบสวนว่า นายแวอาลีคอปเตอร์ นั้นคือนักรบปัตตานีตัวจริงหรือไม่   เป็นเวลา 9 ปีที่รัฐบาลไทยได้ออกหมายจับชาวบ้านตามอำเภอใจโดยไม่ตรวจสอบก่อน ทำให้คนปาตานีหลายๆคนโดนหมายจับของรัฐบาลไทย  โดยบางคนโดนหมายจับทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำความผิดใดๆ  แต่ที่หลบหนีก็เพราะความไม่เป็นธรรมของรัฐบาลไทยที่มีต่อคนปาตานี เช่นเดียวกันกับ นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ ที่โดนหลายสิบหมายจับตามคดีความมั่นคงของรัฐบาลไทย  ทั้งๆ ที่จริงแล้วเค้าเป็นแค่เกษตรกรที่ทำงานอยู่ในประเทศมาเลเซียเป็นเวลามานานแล้ว

แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้คือแผนการ  เพื่อที่จะดึงผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นนักรบปัตตานีให้ยอมมามอบตัวต่อรัฐบาลไทย โดย พล.ท. อดุมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และอดีตผู้สมัครการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร นายมุคตาร์ ซีกะจิ ตาบีโละ พรรคประชาธรรม  , และ นายอิสกานดาร์ ธำรงทรัพย์ ที่ปรึกษาพรรคประชาธรรม เเละ อีกหลายคน ซึ่งทำหน้าที่เรียกผู้ที่ถูกกล่าวหาให้มามอบตัวต่อรัฐบาลไทย ในนาม  Badan Penyeelarasan Wawasan Baru Melayu Patani  หรือ กลุ่มปลดปล่อยความขัดแย้งเขตปกครองใหม่มลายูปัตตานี   กลุ่มนี้พยายามเป็นเวลาสองปีจนสำเร็จโดยเรียก นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ ไปมอบตัวและรับประกันว่า นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ จะได้รับความยุติธรรม และจะไม่ได้รับการลงโทษใดๆ จากรัฐบาลไทย

ในวันนี้ ที่กรุงเทพฯ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รัฐบาลไทย ไม่สามารถที่จะล้างความผิดคดีอาญาไว้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะกลับมาทำงานกับรัฐบาลเพื่อที่จะแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ตาม   ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวอีกว่า พวกทหารได้มีบทบาท ในการทำให้นักรบปัตตานียอมมอบตัวโดยไม่ต้องรับโทษใดๆ และนั้นคือ กลยุทธ์ของพวกทหารเพื่อที่จะแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่พวกเขายังคงต้องได้รับการลงโทษอยู่ดี

รัฐบาลไทยได้แจกงบประมาณ ไห้กับ นายอิสกานดาร์ ธำรงทรัพย์ .และ นายมุคตาร์ ซีกะจิ และเพื่อนคนอื่นๆ เพื่อที่จะดำเนินแผนการในครั้งนี้โดยมอบรางวัลนำจับ นักรบปัตตานี คนละ สามแสนบาท  ทำให้ นายมุคตาร์ ซีกะจิ ประกาศตน เป็นอดีตนักรบปัตตานี แล้วจะพยายามที่จะหานักรบอื่นๆ ให้มามอบตัวต่อรัฐบาลไทย.